วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นอนอย่างไร ไม่ปวด-ไม่เมื่อย


นอนอย่างไร ไม่ปวด-ไม่เมื่อย


            บ่อยครั้งหลังตื่นนอนแล้วลุกขึ้นจากเตียง หลายคนมักรู้สึกปวดเมื่อยบริเวณคอและหลัง สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเคล็ดลับในการแก้ไขก็เพียงแค่นอนในอิริยาบถที่ถูกที่ควรย่อมช่วยบรรเทาได้
อย่างท่านอนหงาย ที่เหมาะสมคือ นอนหนุนหมอนที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่คดงอ กระจายน้ำหนักไปให้ทั่วตัว เคล็ดลับลดความเสี่ยงอาการปวดหลังอยู่ที่การนำหมอนใบพอเหมาะหรืออาจใช้ผ้ารองไว้ใต้เข่า ช่วยให้บั้นเอวไม่แอ่นขึ้น ลดโอกาสการปวดหลังได้
ขณะที่ท่านอนตะแคง ควรป้องกันลำตัวบิดด้วยการใช้หมอนข้างหรือหมอนรองลำตัวช่วงแขนและขาเอาไว้ ซึ่งก็คือการนอนกอดหมอนข้างนั่นเอง ทั้งนี้ควรนอนตะแคงด้านขวาจะไม่รบกวนการทำงานของหัวใจ
นอนมาตั้งหลายชั่วโมง ตอนตื่นจะลุกขึ้นจากเตียงก็เป็นช่วงที่สำคัญ ควรลุกออกมาจากท่านอนตะแคงแล้วค่อยๆ ใช้มือพยุงลำตัวให้ยกขึ้น นั่งพักสักครู่แล้วจึงลุกยืน
นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำในการเลือกที่นอนให้เหมาะกับน้ำหนักตัว สำหรับคนที่น้ำหนักตัวมาก ควรนอนบนที่นอนแข็ง ป้องกันสะโพกจมที่นอนทำให้บั้นเอวแอ่นและปวดหลัง ส่วนคนที่น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมและคนน้ำหนักน้อย สามารถนอนบนที่นอนนุ่มหรือแข็งก็ได้ เนื่องจากการกระจายน้ำหนักตัวไม่เป็นปัญหา.

 ที่มา:http://www.teenpath.net/content.asp?ID=13460

ช่วงเวลานาทีทอง!!เหมาะทบทวนหนังสือ

           ไขข้อข้องใจอ่านหนังสืออย่างไร “จำแม่นที่สุด” พร้อมบอกลาความงัวเงีย ตื่นเต็มตาด้วย “เทคนิคพิชิตง่วง”

เป็นข้อสงสัยที่วัยเรียนส่วนใหญ่อยากไขคำตอบ กับคำถาม เวลาไหนเหมาะสำหรับการทบทวนหนังสือ? จะสังเกตว่า เมื่อความคิดของน้อง ๆ นิ่ง และไม่ฟุ้งซ่านกับเรื่องใด นั่นคือช่วงที่ควรหยิบหนังสืออ่าน และจดจำเนื้อหาที่สุด ดังนั้น ยามเช้าหลังตื่นนอนก็ดี หรือแม้กระทั่งก่อนนอน ซึ่งพักผ่อนมาแล้วพอสมควร ก็เหมาะเช่นกัน ขณะที่ สภาพแวดล้อมในห้องยังสำคัญต่อการเรียนรู้ด้วย โดยการอ่านกับไฟสลัว ๆ ดวงตาจะทำงานหนัก เมื่อยล้าเร็ว จึงควรจัดแสงสว่างให้เพียงพอ นอกจากนั้น บรรยากาศที่สงบเงียบ ยังช่วยให้คิดได้เร็ว และมีสมาธิสูง

นอกจากนี้ ยังมีตัวช่วยคลายความงัวเงียอย่างถาวร ด้วยการตั้งเวลาตื่นที่แน่นอนเป็นประจำ เมื่อร่างกายคุ้นเคยจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกอีกต่อไป ทั้งยังตื่นด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มด้วย ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้ง่ายต่อการจัดเวลาอ่านหนังสือ จากนั้น ดื่มน้ำเปล่า ทำสมองปลอดโปร่ง พร้อมเปิดรับข้อมูล แต่สำหรับใครที่ชอบน้ำสมุนไพร แนะนำน้ำขิงอุ่น จิบปลุกความสดชื่น เรียกความกระปรี้กระเปร่าได้ หรือกระตุ้นร่างกายให้ตื่น โดยยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ไหล่ แขน และฝ่ามือ ประมาณ 5-10 นาที เท่านี้ก็นั่งหลังตรงทบทวนหนังสือกันได้เลย

ทั้งนี้ เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ น้อง ๆ ควรหมั่นปฏิบัติสม่ำเสมอ เพราะการค่อย ๆ สะสมความเข้าใจ จะช่วยให้สมองจดจำเนื้อหาเป็นระบบ เมื่อถึงเวลาสอบ จะสามารถดึงความรู้นั้นออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
ที่มา:http://www.teenpath.net/content.asp?ID=14033

เชอร์รี่ ผลไม้เพิ่มความสุข

เชอร์รี่ ผลไม้เพิ่มความสุข


………สาวๆ รู้หรือไม่ว่า เชอร์รี่ 
ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานซึ่งอุดมไปด้วย
วิตามินซีที่มีมากกว่าส้มถึง 
30-80 เท่านั้น นอกจาก
จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ชะลอ
ความแก่ และช่วยต้านอนุมูล-
อิสระแล้ว 
เชอร์รี่ยังมีคุณสมบัติ
ช่วยให้สาวๆ ทั้งหลายอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย
……….จากผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าการกินเชอร์รี่มากถึง 20 ผล
จะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้มากกว่าการกินยา เนื่องจากในผลเชอร์รี่มีสารที่ชื่อว่า แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) 
ซึ่งเป็นเม็ดสีใน เชอร์รี่ ทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีสีสันสดใส และมีสรรพคุณที่สำคัญคือ ทำให้คนกินมีความสุข 
ด้วยเหตุนี้แพทย์ตะวันตกจึงเรียก เชอร์รี่ ว่าเป็น แอสไพรินธรรมชาติถ้าเวลาใดที่สาวๆ รู้สึกเครียดหรือเกิดอาการซึมเศร้าก็ลองเปลี่ยนจากการกินยารักษา มาใช้วิธีธรรมชาติบำบัดด้วยการกินเชอร์รี่นะคะ
ที่มา:http://women.mthai.com/health/94247.html

สูตรหน้าขาวกระจ่างใส ด้วย แอปเปิ้ล

สูตรหน้าขาวกระจ่างใส ด้วย แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ล

…………การมีใบหน้าที่ขาวกระจ่างสวยใส ล้วนเป็นความปรารถนาในอันดับต้นๆ ของคุณผู้หญิงหลายๆ คน โดยเฉพาะสาวๆ ที่ทำงานหนัก นอนดึก สังสรรค์ยันเช้า วันนี้เราจึงขอแนะนำวิธีแก้ปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำให้กลับมากระจ่างใสได้ด้วย แอปเปิ้ลมากฝากกันค่ะ
………….เริ่มจากการนำแอปเปิ้ลมาปอกเปลือก เลือกใช้แต่เนื้อ หั่นเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้งพอละเอียด จากนั้นนำมาทาให้ทั่วใบหน้า นวดเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ซึ่งวิธีนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า แล้วยังทำให้ใบหน้าคุณสดใสเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น เนื่องจาก แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่วิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า ช่วยให้ผิวกระจ่างใส เพิ่มความชุ่มชื้น ลดความแห้งกร้าน และยังมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้ผิวกระชับตึงไม่แก่ก่อนวัยอีกด้วย
ที่มา:http://women.mthai.com/beautytipandtrick/94857.html

เคล็ดลับ ป้องกันเล็บแตกล่อน

เคล็ดลับ ป้องกันเล็บแตกล่อน

.
…..สีโน้นก็ดี สีนี้ก็โดน ไม่ว่าจะเป็นเล็บสีไหนๆ ก็สวยได้ ถ้าหากว่า คุณสาวๆ ดูแลรักาาอย่างถูกวิธี คงไม่ดีแน่ ถ้าหากว่า คุณออกไปเดินเฉิดฉาย พร้อมกับลายเล็บที่แตกล่อน เหมือนสาวสวยก้นครัว…
 ขอแนะนำ “เคล็ดลับ ป้องกันเล็บแตกล่อน”  ที่คุณๆ สาวรักเล็บควรรู้ มาฝากกันค่ะ
   เคล็ดลับแรก ใช้น้ำยาทาเล็บสีอ่อนๆ คุณสาวๆที่ชอบทาเล้บ แต่ไม่ค่อยมีเวลา  ขอแนะนำให้คุณสาวๆ เลือกใช้น้ำยาทาเล็บที่มีสีอ่อนๆ อย่างเช่น สีเนื้อ ชมพูอ่อน เวลาที่เล็บแตกล่อนออก จะมองเห็นไม่ค่อยชัดเหมือนกับน้ำยาทาเล็บสีเข้มๆ ค่ะ
   เคล็ดลับที่ 2 เติมปลายเล็บ มาเสริมความแข็งแรงในบริเวณที่แตกล่อนได้ง่าย ด้วยการถือพู่กันในแนวตั้ง แล้วลูบไล้ไปตามขอบเล็บ
   เคล็ดลับที่ 3 การทารองพื้นเล็บ คุณสาวๆ ควรใช้ผลิตภัณฑ์รองพื้นหรือ Nail Base ทารองพื้นเล็บก่อนที่จะใช้น้ำยาทาเล็บทาลงไปค่ะ วิธีนี้จะช่วยป้องกันเล็บฉีกขาดและป้องกันการเกิดเล็บเหลืองได้นะคะ
   เคล็บลับสุดท้าย การเคลือบเล็บ แน่นอนค่ะว่า เมื่อเราทาเล็บด้วยน้ำยาทาเล็บสีสันต่างๆ แล้ว เราจำเป็นที่จะต้องทาน้ำยาเคลือบเล็บหรือ Top Coat Nail อีกสักรอบ สองรอบค่ะ ช่วยให้สีของน้ำยาทาเล็บติดทนนานมากขึ้น และยังเป็นการป้องกันไม่ให้เล็บแตกล่อนได้ง่ายอีกด้วยค่ะ
ที่มา:http://women.mthai.com/beautytipandtrick/80563.html

นานาประโยชน์จากโยเกิร์ต

เป็นอาหารที่ดูดีมีชาติตระกูล เหมาะกับสาวรุ่นใหม่อย่างเราเป็นที่สุด แต่เบื้องหลังหน้าตาสวยใส โยเกิร์ตยังมีความลับที่คุณอาจยังไม่รู้


ประโยชน์จากโยเกิร์ต

ประโยชน์จากโยเกิร์ต
โยเกิร์ต
              คน ที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
โยเกิร์ต ไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง
ถึง แม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้
จุลินทรีย์ ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ “เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร” ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
แคลเซียม สูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก
เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

การทาน โยเกิร์ต ที่ ได้ผลที่สุดควรจะทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่
ขอบคุณที่มา : http://women.mthai.com/views_health_11_47_39506_1.women

การถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์



การถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์
การถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์
                จาก สถิติพบว่า.. ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศีรษะรวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดเหมื่อยคอ และหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีตัวแปรอีกหลายประการที่ทำร้ายสายตาของเรา เช่น ชนิดของจอคอมพิวเตอร์ แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ความสว่างของห้อง ท่านั่ง ฯลฯ
เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์
1. กะพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการ ตาแห้ง เกิด จากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 – 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 – 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้ บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 – 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 – 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป
3. ปรับความสว่างของห้อง ควร ปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า
4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควร เลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษร ได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพวิเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอนสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)
5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควร เลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 – 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็น เวลานาน
รู้ถึงเคล็ดลับดีๆ อย่างงี้กันไปแล้วก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตามกันนะคะ เพื่อ สุขภาพดวงตาที่ดีของเพื่อนๆ ผู้รักการเล่นคอมฯ เป็นชีวิตจิตใจ เพราะดวงตาของเราเป็นหน้าต่างของหัวใจ อย่าลืมถนอมมันให้ใช้ได้นานๆ นะจ๊ะ
ขอบคุณที่มาข้อมูล : http://women.mthai.com/views_health_11_47_39602_1.women