วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นอนอย่างไร ไม่ปวด-ไม่เมื่อย


นอนอย่างไร ไม่ปวด-ไม่เมื่อย


            บ่อยครั้งหลังตื่นนอนแล้วลุกขึ้นจากเตียง หลายคนมักรู้สึกปวดเมื่อยบริเวณคอและหลัง สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเคล็ดลับในการแก้ไขก็เพียงแค่นอนในอิริยาบถที่ถูกที่ควรย่อมช่วยบรรเทาได้
อย่างท่านอนหงาย ที่เหมาะสมคือ นอนหนุนหมอนที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่คดงอ กระจายน้ำหนักไปให้ทั่วตัว เคล็ดลับลดความเสี่ยงอาการปวดหลังอยู่ที่การนำหมอนใบพอเหมาะหรืออาจใช้ผ้ารองไว้ใต้เข่า ช่วยให้บั้นเอวไม่แอ่นขึ้น ลดโอกาสการปวดหลังได้
ขณะที่ท่านอนตะแคง ควรป้องกันลำตัวบิดด้วยการใช้หมอนข้างหรือหมอนรองลำตัวช่วงแขนและขาเอาไว้ ซึ่งก็คือการนอนกอดหมอนข้างนั่นเอง ทั้งนี้ควรนอนตะแคงด้านขวาจะไม่รบกวนการทำงานของหัวใจ
นอนมาตั้งหลายชั่วโมง ตอนตื่นจะลุกขึ้นจากเตียงก็เป็นช่วงที่สำคัญ ควรลุกออกมาจากท่านอนตะแคงแล้วค่อยๆ ใช้มือพยุงลำตัวให้ยกขึ้น นั่งพักสักครู่แล้วจึงลุกยืน
นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำในการเลือกที่นอนให้เหมาะกับน้ำหนักตัว สำหรับคนที่น้ำหนักตัวมาก ควรนอนบนที่นอนแข็ง ป้องกันสะโพกจมที่นอนทำให้บั้นเอวแอ่นและปวดหลัง ส่วนคนที่น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมและคนน้ำหนักน้อย สามารถนอนบนที่นอนนุ่มหรือแข็งก็ได้ เนื่องจากการกระจายน้ำหนักตัวไม่เป็นปัญหา.

 ที่มา:http://www.teenpath.net/content.asp?ID=13460

ช่วงเวลานาทีทอง!!เหมาะทบทวนหนังสือ

           ไขข้อข้องใจอ่านหนังสืออย่างไร “จำแม่นที่สุด” พร้อมบอกลาความงัวเงีย ตื่นเต็มตาด้วย “เทคนิคพิชิตง่วง”

เป็นข้อสงสัยที่วัยเรียนส่วนใหญ่อยากไขคำตอบ กับคำถาม เวลาไหนเหมาะสำหรับการทบทวนหนังสือ? จะสังเกตว่า เมื่อความคิดของน้อง ๆ นิ่ง และไม่ฟุ้งซ่านกับเรื่องใด นั่นคือช่วงที่ควรหยิบหนังสืออ่าน และจดจำเนื้อหาที่สุด ดังนั้น ยามเช้าหลังตื่นนอนก็ดี หรือแม้กระทั่งก่อนนอน ซึ่งพักผ่อนมาแล้วพอสมควร ก็เหมาะเช่นกัน ขณะที่ สภาพแวดล้อมในห้องยังสำคัญต่อการเรียนรู้ด้วย โดยการอ่านกับไฟสลัว ๆ ดวงตาจะทำงานหนัก เมื่อยล้าเร็ว จึงควรจัดแสงสว่างให้เพียงพอ นอกจากนั้น บรรยากาศที่สงบเงียบ ยังช่วยให้คิดได้เร็ว และมีสมาธิสูง

นอกจากนี้ ยังมีตัวช่วยคลายความงัวเงียอย่างถาวร ด้วยการตั้งเวลาตื่นที่แน่นอนเป็นประจำ เมื่อร่างกายคุ้นเคยจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกอีกต่อไป ทั้งยังตื่นด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มด้วย ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้ง่ายต่อการจัดเวลาอ่านหนังสือ จากนั้น ดื่มน้ำเปล่า ทำสมองปลอดโปร่ง พร้อมเปิดรับข้อมูล แต่สำหรับใครที่ชอบน้ำสมุนไพร แนะนำน้ำขิงอุ่น จิบปลุกความสดชื่น เรียกความกระปรี้กระเปร่าได้ หรือกระตุ้นร่างกายให้ตื่น โดยยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ไหล่ แขน และฝ่ามือ ประมาณ 5-10 นาที เท่านี้ก็นั่งหลังตรงทบทวนหนังสือกันได้เลย

ทั้งนี้ เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ น้อง ๆ ควรหมั่นปฏิบัติสม่ำเสมอ เพราะการค่อย ๆ สะสมความเข้าใจ จะช่วยให้สมองจดจำเนื้อหาเป็นระบบ เมื่อถึงเวลาสอบ จะสามารถดึงความรู้นั้นออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
ที่มา:http://www.teenpath.net/content.asp?ID=14033

เชอร์รี่ ผลไม้เพิ่มความสุข

เชอร์รี่ ผลไม้เพิ่มความสุข


………สาวๆ รู้หรือไม่ว่า เชอร์รี่ 
ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานซึ่งอุดมไปด้วย
วิตามินซีที่มีมากกว่าส้มถึง 
30-80 เท่านั้น นอกจาก
จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ชะลอ
ความแก่ และช่วยต้านอนุมูล-
อิสระแล้ว 
เชอร์รี่ยังมีคุณสมบัติ
ช่วยให้สาวๆ ทั้งหลายอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย
……….จากผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าการกินเชอร์รี่มากถึง 20 ผล
จะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้มากกว่าการกินยา เนื่องจากในผลเชอร์รี่มีสารที่ชื่อว่า แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) 
ซึ่งเป็นเม็ดสีใน เชอร์รี่ ทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีสีสันสดใส และมีสรรพคุณที่สำคัญคือ ทำให้คนกินมีความสุข 
ด้วยเหตุนี้แพทย์ตะวันตกจึงเรียก เชอร์รี่ ว่าเป็น แอสไพรินธรรมชาติถ้าเวลาใดที่สาวๆ รู้สึกเครียดหรือเกิดอาการซึมเศร้าก็ลองเปลี่ยนจากการกินยารักษา มาใช้วิธีธรรมชาติบำบัดด้วยการกินเชอร์รี่นะคะ
ที่มา:http://women.mthai.com/health/94247.html

สูตรหน้าขาวกระจ่างใส ด้วย แอปเปิ้ล

สูตรหน้าขาวกระจ่างใส ด้วย แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ล

…………การมีใบหน้าที่ขาวกระจ่างสวยใส ล้วนเป็นความปรารถนาในอันดับต้นๆ ของคุณผู้หญิงหลายๆ คน โดยเฉพาะสาวๆ ที่ทำงานหนัก นอนดึก สังสรรค์ยันเช้า วันนี้เราจึงขอแนะนำวิธีแก้ปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำให้กลับมากระจ่างใสได้ด้วย แอปเปิ้ลมากฝากกันค่ะ
………….เริ่มจากการนำแอปเปิ้ลมาปอกเปลือก เลือกใช้แต่เนื้อ หั่นเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้งพอละเอียด จากนั้นนำมาทาให้ทั่วใบหน้า นวดเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ซึ่งวิธีนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า แล้วยังทำให้ใบหน้าคุณสดใสเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น เนื่องจาก แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่วิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า ช่วยให้ผิวกระจ่างใส เพิ่มความชุ่มชื้น ลดความแห้งกร้าน และยังมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้ผิวกระชับตึงไม่แก่ก่อนวัยอีกด้วย
ที่มา:http://women.mthai.com/beautytipandtrick/94857.html

เคล็ดลับ ป้องกันเล็บแตกล่อน

เคล็ดลับ ป้องกันเล็บแตกล่อน

.
…..สีโน้นก็ดี สีนี้ก็โดน ไม่ว่าจะเป็นเล็บสีไหนๆ ก็สวยได้ ถ้าหากว่า คุณสาวๆ ดูแลรักาาอย่างถูกวิธี คงไม่ดีแน่ ถ้าหากว่า คุณออกไปเดินเฉิดฉาย พร้อมกับลายเล็บที่แตกล่อน เหมือนสาวสวยก้นครัว…
 ขอแนะนำ “เคล็ดลับ ป้องกันเล็บแตกล่อน”  ที่คุณๆ สาวรักเล็บควรรู้ มาฝากกันค่ะ
   เคล็ดลับแรก ใช้น้ำยาทาเล็บสีอ่อนๆ คุณสาวๆที่ชอบทาเล้บ แต่ไม่ค่อยมีเวลา  ขอแนะนำให้คุณสาวๆ เลือกใช้น้ำยาทาเล็บที่มีสีอ่อนๆ อย่างเช่น สีเนื้อ ชมพูอ่อน เวลาที่เล็บแตกล่อนออก จะมองเห็นไม่ค่อยชัดเหมือนกับน้ำยาทาเล็บสีเข้มๆ ค่ะ
   เคล็ดลับที่ 2 เติมปลายเล็บ มาเสริมความแข็งแรงในบริเวณที่แตกล่อนได้ง่าย ด้วยการถือพู่กันในแนวตั้ง แล้วลูบไล้ไปตามขอบเล็บ
   เคล็ดลับที่ 3 การทารองพื้นเล็บ คุณสาวๆ ควรใช้ผลิตภัณฑ์รองพื้นหรือ Nail Base ทารองพื้นเล็บก่อนที่จะใช้น้ำยาทาเล็บทาลงไปค่ะ วิธีนี้จะช่วยป้องกันเล็บฉีกขาดและป้องกันการเกิดเล็บเหลืองได้นะคะ
   เคล็บลับสุดท้าย การเคลือบเล็บ แน่นอนค่ะว่า เมื่อเราทาเล็บด้วยน้ำยาทาเล็บสีสันต่างๆ แล้ว เราจำเป็นที่จะต้องทาน้ำยาเคลือบเล็บหรือ Top Coat Nail อีกสักรอบ สองรอบค่ะ ช่วยให้สีของน้ำยาทาเล็บติดทนนานมากขึ้น และยังเป็นการป้องกันไม่ให้เล็บแตกล่อนได้ง่ายอีกด้วยค่ะ
ที่มา:http://women.mthai.com/beautytipandtrick/80563.html

นานาประโยชน์จากโยเกิร์ต

เป็นอาหารที่ดูดีมีชาติตระกูล เหมาะกับสาวรุ่นใหม่อย่างเราเป็นที่สุด แต่เบื้องหลังหน้าตาสวยใส โยเกิร์ตยังมีความลับที่คุณอาจยังไม่รู้


ประโยชน์จากโยเกิร์ต

ประโยชน์จากโยเกิร์ต
โยเกิร์ต
              คน ที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
โยเกิร์ต ไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง
ถึง แม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้
จุลินทรีย์ ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ “เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร” ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
แคลเซียม สูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก
เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

การทาน โยเกิร์ต ที่ ได้ผลที่สุดควรจะทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่
ขอบคุณที่มา : http://women.mthai.com/views_health_11_47_39506_1.women

การถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์



การถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์
การถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์
                จาก สถิติพบว่า.. ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศีรษะรวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดเหมื่อยคอ และหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีตัวแปรอีกหลายประการที่ทำร้ายสายตาของเรา เช่น ชนิดของจอคอมพิวเตอร์ แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ความสว่างของห้อง ท่านั่ง ฯลฯ
เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์
1. กะพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการ ตาแห้ง เกิด จากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 – 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 – 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้ บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 – 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 – 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป
3. ปรับความสว่างของห้อง ควร ปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า
4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควร เลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษร ได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพวิเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอนสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)
5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควร เลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 – 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็น เวลานาน
รู้ถึงเคล็ดลับดีๆ อย่างงี้กันไปแล้วก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตามกันนะคะ เพื่อ สุขภาพดวงตาที่ดีของเพื่อนๆ ผู้รักการเล่นคอมฯ เป็นชีวิตจิตใจ เพราะดวงตาของเราเป็นหน้าต่างของหัวใจ อย่าลืมถนอมมันให้ใช้ได้นานๆ นะจ๊ะ
ขอบคุณที่มาข้อมูล : http://women.mthai.com/views_health_11_47_39602_1.women

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ

10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ

1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
2. นั่งสมาธิสัก 5  นาที
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ
4. เช็คคำตอบ
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
 

น้ำมันมะกอก แก้นอนกรน

             
               มะกอกจัดเป็นผลไม้ที่มีเม็ดในแข็ง หนึ่งลูกจะมีหนึ่งเมล็ด เป็นพืชที่ทนได้ทุกสภาวะอากาศ ดอกมะกอกจะออกช่อในช่วงปลายฤดูหนาว มีดอกเล็กๆ สีขาว ผลจะโตเต็มที่ประมาณ 7-8 เดือนหลังออกดอก
ลำต้นจะสูงตั้งแต่ 3 เมตร จนถึง 18 เมตร ใบเรียวยาวสีเขียวเข้ม มีหลากหลายพันธุ์
ตัวผลมีรสขมและฝาด เมื่อแก่จัดสีจะเปลี่ยนจากเขียวจนเป็นสีคล้ำจนเกือบดำ มะกอกเป็นผลไม้ที่มีน้ำมันมากที่สุด ในผลมะกอกที่แก่จัด 100 กรัม ให้น้ำมันถึง 20-30 กรัม การสกัดเอาน้ำมันต้องเลือกผลที่แก่จัด จึงจะได้น้ำมันมะกอกที่มีประสิทธิภาพ
             น้ำมันมะกอกถึงแม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดี คือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง ทำให้ไม่เกิดไขมันสะสมในร่างกาย และน้ำมันมะกอกยังช่วยให้คนที่มีอาการนอนกรนลดเสียงกรนให้เบาลงได้ ด้วยการกินน้ำมันมะกอกสำหรับทำอาหาร ซึ่งควรเลือกแบบ EXTRA VIRGIN OLIVE OIL เพราะ เป็นแบบบริสุทธิ์ มีสีเขียวเข้มใส และนิยมนำมาใช้ในการทำสลัด กินสัก 4-5 หยดก่อนนอน ทำอย่างต่อเนื่องและทำควบคู่ไปกับวิธีดูแลสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับมาตรฐาน จะช่วยแก้ปัญหานอนกรน
ให้หมดไปได้
ที่มา : นิตยสารชีวจิต ฉบับ 1 มี.ค. 2552,

การเตรียมสุขภาพให้พร้อม สำรับการสอบ .......

              การสอบ เป็นภาวะการณ์อย่างยิ่งหนึ่งทำให้เกิดความเครียดทั้งทางร่างกาย และจิตใจ มีผลทำให้นักศึกษาเกิดการเจ็บป่วยระหว่างการสอบ นักศึกษานอกจากจะอ่านหนังสือ ทบทวนวิชาต่างๆ แล้ว ยังควรเตรียมสุขภาพตนเอง ให้พร้อมกับการสอบ เพื่อให้การสอบดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะในการสอบไล่แต่ละภาคที่ผ่านมา มีนักศึกษาป่วยระหว่างสอบไล่เป็นจำนวนมาก
สาเหตุการป่วยที่พบบ่อยๆ คือ
     1.นอนดึก นอนน้อยหรือไม่ได้นอน
     2.ไม่ได้รับประทานอาหารเช้า
     3.ปวดท้องประจำเดือน
    4.ปวดท้องเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
    5.ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ
    6.เป็นไข้ อ่อนเพลีย
    7.ผู้โดยสารแน่นรถ รถติด เมารถ มาเส อบไม่ทัน เวลาสอบวิ่งขึ้นอาคารสอบมีอาการหน้ามืดเป็นลม
    8.มีโรคประจำตัว พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ได้รับประทานยาตามแพทย์สั่ง เช่น โรคลมชัก โรคหืดหอบ
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงอาการป่วยที่เกิดจากสาเหตุดังกล่าว งานแพทย์และอนามัย มีคำแนะนำ
          วิธีปฏิบัติในการเตรียมสุขภาพให้พร้อมสำรับการสอบ ดังนี้
    1.อ่านหนังสือทบทวนวิชาแต่เนิ่นๆ ไม่อ่านหักโหมในวันที่จะสอบ ควรเข้าฟังการบรรยายสรุปจากอาจารย์ผู้สอนแต่ละวิชา ในชั่วโมงสุดท้ายของการบรรยาย เพื่อเป็นแนวทางในการสอบ คลายความวิตก พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรนอนดึก หรืออดนอน
    2.ควรรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ เพราะระหว่างการสอบ ร่างกายและสมองต้องการสารอาหารเป็นจำนวนมาก
     3.ผู้ที่เคยมีอาการปวดประจำเดือนบ่อยๆ หรือไม่เคยมีอาการปวดมาก่อน เมื่อเกิดภาวะเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องจนเป็นลมได้ ควรปรึกษาแพทย์ขอรับยาบรรเทา
     4.รับประทานอาหารให้ตรงต่อเวลา และครบทุกมื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย
     5.ระมัดระวังในการรับประทานอาหาร ควรเลือกรับประทานที่ปรุงสุกใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดของหมักดอง ของสุกๆ ดิบๆ เพราะทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ มีอาการคลื่นไส้อาเจียนและท้องเสียอย่างรุนแรง
    6.ผู้ที่กำลังป่วยไข้ อ่อนเพลียให้รับปรึกษาแพทย์ รับประทานยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์
    7.ตรวจวันสอบ สถานที่สอบให้ถูกต้อง และสอบถามให้แน่ใจว่าเป็นอาคารสอบที่ รามฯ 1 หรือ รามฯ 2 เพราะการเดินทางไปรามฯ 2มีระยะทางไกล การจราจรติดขัด รถประจำทางมีน้อย ผู้โดยสารแน่น ควรคำนวณการเดินทางให้เพียงพอ ไปถึงก่อนเวลาอย่างน้อย 1 ชม. ถ้าดูตารางสอบผิดพลาด ทำให้เสียโอกาส
     8.ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ลมชัก หอบหืด ควรปรึกษาแพทย์ รับประทานยาตามเวลา ปฏิ บัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและพักผ่อนให้เพียงพอ
     9.ระหว่างที่ทำการสอบ ถ้ารู้สึกไม่สบายหรือมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดศรีษะ หน้ามืด ใจสั่น คลื่นไส้ ปวดท้องฯ ให้แจ้งกรรมการคุมสอบทันที เพื่อกรรมการให้ยาเบื้องต้น กรณีมีอาการเพียงเล็กน้อย เพราะมียาประจำห้องสอบทุกห้อง หรือแจ้งงานแพทย์ เพื่อไปรับนักศึกษา มาให้แพทย์ตรวจรักษา
    10.ผู้ที่กำลังมีอาการป่วย เช่น เป็นไข้ อีสุกอีใส ตาแดง ซึ่งจำเป็นต้องแยกห้องสอบจากผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หรือ ผู้ที่แ ขน ขาหัก กำลังเข้าเฝือก ไม่สะดวกต่อการสอบอาคารสูงๆ ให้นักศึกษานำหลักฐาน บัตรประจำตัวนักศึกษา บัตรประจำตัวประชาชน ใบเสร็จรับเงินภาคที่สอบ ตารางสอบไล่รายบุคคล และใบรับรองป่วยจากแพทย์ ไปติดต่อเขียนคำร้องขอสอบเป็นกรณีพิเศษ ที่ศูนย์อำนวยการสอบไล่ ห้องประชุมใต้พระรูป พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในวันแรกของการสอบ หรือวันล่วงหน้าการสอบ เพื่อประธานกรรมการควบคุมการสอบไล่ จะได้พิจารณาอนุญาตให้สอบเป็นกรณีพิเศษ ที่งานแพทย์และอนามัยได้
การเตรียมสุขภาพให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ จะช่วยให้การสอบผ่านไปได้ด้วยดี
 ที่มา:http://board.narak.com/topic.php?No=48139

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

วิธีป้องกันผิวสวยจากฝ้า

วิธีป้องกันผิวสวยจากฝ้า

บางคนมีปัญหาผิวเรื่องการเกิดฝ้า ซึ่งทำให้ผิวสวยของเราดูหมอง วันนี้โบว์มีวิธีการป้องกันผิวสวยจากฝ้ามาฝากกันนะจ๊ะ ก่อนที่เราจะพูดถึงวิธีการป้องกันฝ้า เรามารู้จักว่าฝ้าคืออะไรกันก่อนดีกว่าค่ะ ฝ้า เกิดจากแสงแดด และฮอร์โมน จึ่งทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากกว่าปกติ โดยฮอร์โมนที่กระตุ้นฝ้า มี 2 ชนิดนะจ๊ะ ได้แก่
1. ฮอร์โมนจากภายในร่างกาย เช่นการตั้งครรภ์ ยาคุมกำเนิด หรือวัยใกล้หมดประจำเดือน เป็นต้นค่ะ และ
2.ฮอร์โมนจากภายนอก เช่น การรักษาสิว ผิวหนังอักเสบ เครื่องสำอาง ครีมบำรุงต่างๆ และรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดค่ะ
กลุ่มบุคคลที่เสี่ยงเป็นฝ้า ก็จะเป็นกลุ่มหญิงวัยทำงานนะจ๊ะ สาเหตุอาจจะมาจากการเลือกใช้เครื่องสำอางหลากหลายชนิด
วิธีการป้องกันไม่ให้ผิวสวยหมองเนื่องจากฝ้า
-          หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นที่เป็นฮอร์โมนที่ทำให้ผิวสวยเราเกิดฝ้านะจ๊ะ เช่น ครีมบำรุง และเครื่องสำอางบางชนิด เป็นต้น
-          ปกป้องผิวสวยจากแสงแดด ห่างไกลฝ้า ด้วยการทาครีมกันแดด หรือ สวมหมวก กางร่มในที่โล่งแจ้งและมีแสงแดดแรงค่ะ
-          พยายามทำให้ตัวเองแจ่มใส สดชื่นอยู่ตลอดเวลานะจ๊ะ อย่าเครียด เพื่อผิวสวย สุขภาพดี
-          สุดท้ายคือ พักผ่อนให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันจ๊ะ เพราะการนอนหลับจะทำให้ผิวสวยของเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และยังทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวาอีกด้วยนะ
ฝ้าเป็นปัญหาหนึ่ง ที่ทำให้หน้าใส ผิวสวยของเรานั้นเกิดการหมองคล้ำ ผิวสีเนียนไม่เท่ากัน เราจึงควรปกป้องตัวเองแต่เนิ่นๆ นะจ๊ะ เพื่อผิวสวย สุขภาพดีจ๊ะ

ที่มา :  http://lady.one.in.th/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%9b%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%9d%e0%b9%89%e0%b8%b2/

5 ไอเดียดีๆ กับการเล่นอินเทอร์เน็ตให้สร้างสรรค์ในวันว่าง

     ในวันว่างๆ สำหรับสาวๆ แล้วยุคไซเบอร์ครองโลกแบบนี้ กิจกรรมหนึ่งที่สาวๆ ขาดไม่ได้แน่ๆ นั่นก็คือ การเล่นอินเทอร์เน็ต ใช่ไหมล่ะคะ ... โดยเฉพาะสาวๆ หลายคนติด social network ด้วยแล้วล่ะก็เล่นกันเพลินทั้งวันแบบมารู้ตัวอีกที่ อุ๊ย 4 ทุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!!!

      
     และเพื่อให้การใช้อินเทอร์เน็ตของสาวๆ มีประโยชน์มากขึ้น วันนี้ "hobbies น่ารักๆ สำหรับสาวๆ " มีไอเดียเก๋ๆ ในการใช้อินเทอร์เน็ตให้เกิดประโยชน์ในสไตล์ไอที เกิร์ล มาฝากค่ะ

       >>> อัพเดทเทรนด์การแต่งตัวจากแคชวอร์ค ... ขอบอก เลยนะคะว่าโลกออนไลน์ไร้พรมแดน สาวๆ สามารถอัพเดทเทรนด์แฟชั่นได้จากทั่วทุกมุมโลก ส่วนตัวแล้วจะเข้าไปเว็บของเกาหลีและญี่ปุ่นบ่อยมาก ถึงแม้ว่าบางเว็บจะเป็นภาษาญี่ปุ่นหรือเกาหลี ที่เราแปลไม่ออก แต่เราก็อาศัยให้ทักษะการสื่อสารจากภาพเอา บางครั้งการอัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ ด้วยวิธีนี้จะทำให้เราได้เปิดโลกของแฟชั่น ได้รู้ได้เห็นว่ามีเทรนด์อะไรใหม่ๆ บ้าง เทรนด์ไหนที่เหมาะกับเรา ที่สำคัญนะคะ แฟชั่นต่างๆ ในโลกออนไลน์น่ะ อัพเดทเร็วกว่าแม็กกาซีนอีกนะจะบอกให้ ที่สำคัญไม่ต้องเสียเงินซื้อด้วย เปิดดูเชิ๊บๆ สบายใจ เมื่อไหร่ก็ได้
         >>> เรียนรู้วิธีการแต่งหน้าในสไตล์ต่างๆ ... ไก่ งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง สาวๆ จะสวยได้ต้องจักวิธีดูแลตัวเองด้วยการแต่งหน้า (บ้างอะไรบ้าง) สาวๆ สามารถถึงศึกรายละเอียดของเครื่องสำอางต่างๆ ได้จากเว็บบอร์ดชื่อดังหลายๆ แห่ง ซึ่งในเว็บบอร์ดนั้นก็จะมีกูรูทางด้านความงามมาแลกเปลี่ยนความรู้ และสอนวิธีการแต่งหน้าใสสไตล์ต่างๆ สาวๆ จะได้เรียนรู้วิธีการแต่งหน้าแบบที่เหมาะกับตัวเองแบบสบายๆ ไม่ต้องเสียสตางค์ไปเข้าคอร์สด้วยล่ะ ลองเข้าไปที่ youtube ดูสิคะ มีคลิปวิดีโอสอนแต่งหน้าเพียบเลยล่ะ!!
        >>> อ่านนิยายสบายๆ แบบไม่ต้องเสียเงิน ... แน่นอนเลยค่ะ เดี๋ยวนี้มีเว็บบล็อคที่เหล่านักเขียนทั้งหลายมาเขียนนิยายสนุกๆ เอาไว้ให้เราได้อ่านกัน  อ่านกันได้อ่านกันดี อ่านกันให้จุใจ อ่านซ้ำไปซ้ำมา ไม่ต้องเสียเงินด้วยล่ะค่ะ เริ่ดที่สุดในสามโลก!!
        >>> หาข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนในแต่ละวิชาเอาไว้ล่วงหน้า ... จุด นี้ถือว่ามีประโยชน์มากๆ เวลาที่เราได้คอร์สเอ้าท์ไลน์จากอาจารย์มาว่า ในหนึ่งเทอมเราจะต้องเรียนวิชาอะไรบ้าง ทีนี้พอเรารู้แบบนี้เราก็สามารถมาเสิร์ชหาความรู้เกี่ยวกับความรู้รายวิชา ที่เราจะต้องเรียนล่วงหน้าได้ ทำให้เรามีเวลาอ่านหนังสือมากกว่าเพื่อนๆ ที่สำคัญยังได้ความรู้ที่หลากหลายอีกด้วยค่ะ แถมเวลาทำรายงาน บางครั้งเรายังสามารถใช้บริการห้องสมุดออนไลน์ได้โดยที่เราไม่ต้องเข้าไป ห้องสมุดจริงๆ ด้วย
บาง คนตั้งใจว่าจะเปิดคอมพิวเตอร์ทำงาน แต่พอเผลอเปิด เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ แล้วก็ยาวเลยค่ะทีนี้ รู้ตัวอีกทีรายงานยังไม่ได้ทำ แต่ต้องส่งพรุ่งนี้แล้ว เวรกรรมๆ -*- ... จริงๆ แล้วการเล่นอินเทอร์เน็ตนั้น ถ้าเราเล่นให้อยู่ในปริมาณที่พอดีก็จะเป็นการผ่อนคลายเพื่อความบันเทิง แต่ถ้าหากหมกมุ่นกับมันมากเกินไปก็อาจจะเป็นผมเสียทั้งในด้านของสุขภาพและ เสียเวลาที่สามารถใช้ทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์อีกด้วย 

ที่มา : www.dek-d.com
       >>> ดูซีรี่ส์เกาหลีย้อนหลังได้แบบไม่มีลิมิต ... อะ เมซิ่งจิงกาเบลที่สุด สำหรับสาวๆ อย่างเราแล้ว คงไม่มีความบันเทิงอะไรที่จะสุขใจไปกว่าการได้ดูซีรี่ส์เกาหลีที่ชอบแบบซ้ำ ไปซ้ำมาได้อีกแล้วล่ะค่ะ โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาวหรือช่วงเสาร์อาทิตย์ เรียกว่าถ้าไม่มีธุระอะไรล่ะก็ ขออยู่หน้าคอมดูให้เพลินไปเลย

เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ ให้ได้ผล

10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ

1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
2. นั่งสมาธิสัก 5  นาที
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ
4. เช็คคำตอบ
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ
1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ (บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้
   ** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะค่ะ อิอิ
2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)

3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง
4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้
5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)

      

เคล็ดลับ วิธีเลือกแป้งพัฟให้เข้ากับสีผิว





ปัญหากวนใจสาวๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องความสวยความงาม วันนี้มีวิธีเลือกแป้งพัฟให้เข้ากับสีผิวมาฝาก เพราะมีสาวๆ หลายท่านถามกันเข้ามากเหลือเกินว่า วิธีเลือกแป้งพัฟให้เข้ากับสีผิว นั้นมีเคล็ดลับอย่างไรบ้าง






คุณผู้หญิงทุกท่านที่กำลังมองหา เคล็ดลับ วิธีเลือกแป้งพัฟให้เข้ากับสีผิว นี้กันอยู่ค่ะ เชื่อว่า ข้อมูลที่นำมาฝากกันในวันนี้น่าจะช่วยให้วิธีการเลือกแป้งพัฟให้เข้ากับสีผิวของคุณผู้หญิงหลายๆ ท่านเป็นไปได้ง่ายมากยิ่งขึ้นค่ะ สำหรับคุณผู้หญิงที่ยังสงสัยในเรื่องวิธีการเลือกแป้งพัฟให้เข้ากับสีผิวกันอยู่ล่ะก็ วันนี้มาไขคำตอบคาใจไปพร้อมๆ กับเคล็ดลับ วิธีเลือกแป้งพัฟให้เข้ากับสีผิว กันเลยดีกว่าค่ะ


วิธีเลือกแป้งพัฟให้เข้ากับสีผิว
- Loose Powder เหมาะกับสาวผิวมันที่ไม่มีริ้วรอยให้ต้องปกปิด เพราะดีที่บางเบาแต่ก็ไม่ติดทนนานหน้ามันปุ๊บก็หยิบแปรงมาปัดกันได้ใหม่


- Two Way Powder เหมาะกับสาวที่ชอบความสะดวกได้ทั้งการปกปิดริ้วรอยและเพิ่มความเนีบยใสเพราะผสมรองพื้นในตัว พกพาสะดวกปกปิดริ้วรอย จุดบกพร่องได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวและสีผิว จะได้นวลเนียนเป็นธรรมชาติไม่หลอกตา


- Pressed Powder คุณสมบัติเหมือน Loose Powder แต่ใช้สะดวกกว่าเพราะอัดแข็งอยู่ในตลับ เหมาะกับผิวค่อนข้างดีอยู่แล้วเพราะระดับความปกปิดน้อยและไม่ค่อยติดทนนาน


วิธีทดลองสีแป้งพัฟ
ให้ใช้พัฟใหม่สำหรับทดลองสีแป้งทาที่แถวๆ ช่วงข้างแก้ม เลือกสีที่กลมกลืนกับสีผิวที่สุด รู้นะว่าอยากให้ผิวหน้าดูขาวแต่การเลือกแป้งให้ขาวกว่าผิวหน้าจริงกลับทำให้ดูหลอกตา เลือกสีให้ใกล้เคียงกับสีผิวจะดีกว่า




วิธีดูส่วนผสมของแป้ง
ปัจจุบันมีแป้งหลากชนิดและหลากสีให้เลือกใช้ แต่อีกเรื่องที่ควรใส่ใจคือส่วนผสมในเนื้อแป้ง ถ้าอยากผิวขาวขึ้นแทนที่จะเลือกแป้งสีขาวหลอกตาก็มาเลือกแป้งที่มีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผิวหน้าให้ขาวใสสุขภาพดีจากภายในจะดีกว่า

ผิวเสียจากแสงแดด "เราแก้ได้!!!"




วิธีแก้! ผิวเสียจากแสงแดด


- กรณีที่อาบแดดนาน ๆ อยู่ท่ามกลางความร้อนมากเกินไปหรือแพ้สภาพอากาศ อาจทำให้ใบหน้าและบริเวณหน้าอกขึ้นเป็นผื่นแดงได้ วิธีที่ดีที่สุด คือ ใช้ครีมบำรุงผิวสูตรบรรเทาผื่นแดงสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เพื่อลดขนาดของรอยผื่น และต้องหลบแดดทันทีควบคู่กับการงดทำซาวน่าและอยู่ให้พ้นจากชายหาดที่มีลมแรงสักระยะ


- ปัญหาผิวแผ่นหลังลอก จะเกิดหลังจากผ่านการอาบแดดมา ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยให้ผิวสัมผัสนุ่มเนียนขึ้นได้ โดยใช้ออยล์ลูบไล้ให้ทั่ว แต่จะดียิ่งขึ้นหากใช้เกลือขัดผิวหรือบอดี้สครับสูตรอ่อนโยนขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพให้หลุดออก


- ผิวขาหยาบกร้านแห้ง แตก เป็นขุย เป็นผลมาจากร่างกายขาดน้ำจึงต้องดื่มน้ำมากเป็นพิเศษและขัดผิวอย่างถูกวิธีควบคู่ไปด้วย ผิวกายควรใช้แปรงขัดผิว ใยบวบ หรือถุงมือขัดผิวโดยเฉพาะ ขัดถูให้ทั่วพร้อมกับใช้ครีมขัดผิวคู่ไปด้วย หลังจากนั้นอย่าลืมบำรุงผิวที่หยาบกร้านด้วยโลชั่นถนอมผิว


- ไหล่ เป็นจุดที่ถูกแดดเผาได้ง่าย หากคุณเปลือยไหล่อาบแดดจึงควรประคบผิวส่วนนี้ให้เย็นขึ้นด้วยการใช้โลชั่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมันสำหรับชโลมผิวหลังอาบแดดโดยเฉพาะหรือชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนเป็นอันดับแรก


- ริ้วรอยแห่งวัย ที่เกิดจากเผชิญแสงแดดเป็นเวลานานยิ่งอายุมากขึ้นริ้วรอยยับย่นแห่งวัยก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายและเร็ว ควรดูแลผิวเสียแต่เนิ่น ๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทม้อยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนและอีลาสติน แต่นับจากนี้ก็ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ได้รับผลเสียจากแสงแดดน้อยที่สุด เพราะริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการลดเลือนริ้วรอย

ผิวขาวใส ไม่ยากอย่างที่คิด

ผิวขาวใส ไม่ยากอย่างที่คิด

การดูแลผิวขาวใสนั้น ต้องดูแลตั้งแต่วัยรุ่นนะจ๊ะ ว่าคือยิ่งเราดูแลผิวตัวเองเร็วแค่ไหน ยิ่งทำให้ผิวเราดูเด็กมากขึ้นนั้น ไร้ปัญหาริ้วรอยกว่าวันอันควร และยืดความเสื่อมของเซลล์ผิวได้มากขึ้นค่ะ โบว์มี 5 สิ่งที่ควรปฏิบัติ เพื่อช่วยให้ผิวขาวใส และผิวสวยดูสดใสไปนานๆค่ะ
1.ครีมกันแดด ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านให้ติดเป็นนิสัยนะจ๊ะ เพราะแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ทำให้ผิวเราเสื่อมได้มากถึง 80%เชียวนะ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวขาวใสของเราเกิดริ้วรอย และเหยี่ยวย่นค่ะ
2.ท่านอน การนอนของคนเราอย่างน้อยต้องใช้เวลาถึง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน สำหรับคนที่ชอบนอนซุกหน้ากับหมอนจะทำให้ด้านที่ตะแคงเข้าหาหมอนเกิดริ้วรอยมากกว่าอีกด้านนึงค่ะ เพราะฉะนั้นเราควรเปลี่ยนท่านอนมาเป็น ท่านอนหงายหรือเลือกใช้หมอนที่อ่อนนุ่ม และเลือกปลอกหมอนที่มีเนื้อผ้าลื่นๆ เช่น ผ้าซาติน เพื่อแก้ปัญหาตรงจุดนี้ และหน้าขาวใสของเราก็จะปราศจากริ้วรอยค่ะ
3. อาหาร ผิวขาวใสมาจากอาหารที่ดี มีประโยชน์ ครบหมดหมู่นะจ๊ะ โดยเฉพาะวิตามินที่ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว ได้แก่ วิตามินเอ ซี และอีค่ะ อย่างเช่น ผักสดและผลไม้สดค่ะ และเมื่อทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว อย่าลืมดื่นน้ำให้มากๆประมาณ 6-8แก้วต่อวันนะค่ะ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น สดใสให้แก่ผิวค่ะ
4. พักผ่อน ต้องรู้จักการพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ เพราะผิวขาวใสของเรานั้นจะมีได้ ต้องเริ่มมาจากสุขภาพที่ดีนะจ๊ะ ถ้าเราสุขภาพดี แข็งแรง ผิวพรรณของเราก็จะสวย สดใสตามไปด้วยค่ะ
5. ผ่อนคลาย ความเครียดเป็นบ่อเกิดของใบหน้าหมองคล้ำ ริ้วรอย สิว และอื่นๆนะจ๊ะ เพราะฉะนั้น เราควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียดบาง อย่างเช่น การนั่งสมาธิ การฟังเพลง เดินเล่น เป็นต้น ก็ช่วยลดความเครียดได้ค่ะ
นี่คือ 5 วิธีง่ายๆเพื่อผิวขาวใสที่คุณก็สามารถทำได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนนะจ๊ะ
Tips:
  • การทาครีมกันแดด ควรเลือก SPF ให้เหมาะสมกับการใช้งานและสภาพผิวนะจ๊ะ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดค่ะ
  • เมื่อต้องออกแดด หรืออยู่กลางแจ้ง ควรสวมหมวก สวมเสื้อผ้า หรือหาเครื่องปกป้องผิวขาวใสบ้างนะจ๊ะ เพื่อไม่ให้ผิวขาวใสกระทบกับแสงแดดโดยตรง
  • ขณะขับรถ หรือเดินทางในที่แดดจ้า ควรสวมแว่นตากันแดดนะค่ะ เพราะถ้าคุณไม่สวมแว่นตากันแดด จะทำให้เราหยีตาโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยค่ะ
  • สดใสตลอดเวลา ถ้าเราสดใส สดชื่นตลอดเวลา จะทำให้เราเลิกทำหน้านิ่วคิ้วยุ่งๆตลอดเวลา และทำให้ผิวขาวใสของเราดูน่ามองมากขึ้นค่ะ
  • งดการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยนะจ๊ะ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญในการทำลายผิวหนังให้เสื่อมก่อนวัยอันควรค่ะ
  • การอดนอนบ่อยๆ จะทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ อิดโรย ไม่สดใส และเกิดริ้วรอยก่อนวันอันควรค่ะ
ที่มา : http://lady.one.in.th/%e0%b8%9c%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b9%83%e0%b8%aa-2/

สุดยอดอาหารล้างพิษ

สุดยอดอาหารล้างพิษ

ขึ้นชื่อว่าอาหารล้างพิษ หลายคนคงนึกว่าหากินได้ยาก แต่อาหารล้างพิษดังต่อไปนี้หากินได้ง่ายแสนง่าย ไปดูกันดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้าง
สาหร่าย - พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม แต่ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย McGill ในเมืองมอนทรีออล (Montreal) ประเทศแคนาดาระบุชัดว่า สาหร่ายสามารถดูดซึมของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นรังสีจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งพลังงานความร้อนจากรังสีเหล่านี้ สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้ สาหร่ายยังอุดมไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่จำนวนมาก
หัวหอม - ประกอบด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล ตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น รักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือรักษาโรคเบาหวานได้ โดยช่วยทำให้ระดับน้ำตาลคงที่
มะนาว - สุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ ทั้งยังมีวิตามินซีสูง การดื่มน้ำมะนาวสดผสมกับน้ำอุ่นทุกเช้าหลังตื่นนอน จะสามารถช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย
กระเจี๊ยบ - น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสในระบบทางเดิน ปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออก มีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
ทับทิม - ตำราแพทย์แผนโบราณของเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด จึงช่วยล้างพิษ ลด การติดเชื้อของเชื้อโรค และลดอาการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ นอกจากนี้ ทับทิมยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
พืชตระกูลถั่ว - ไม่ว่าจะเป็นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง หรือถั่วขาว ล้วนมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ทั้งยังสามารถลดอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้
ขึ้นฉ่าย - สุดยอดอาหารทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต การดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้าจะช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ นอกจากนี้ ขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง รวมไปถึงช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ ด้วย
แครอต - อุดมไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับระบบทางเดินประสาท สายตา และผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดดเป็นประจำ
มะเขือพวง - มะเขือพวงอุดมด้วยไฟเบอร์จึงช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร ที่สำคัญคือสามารถช่วยจับไขมันอิ่มตัวและขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่ายได้ ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้อย่างรวดเร็ว จึงลดการสะสมของของเสียได้อยู่
ส้มโอ / เกรปฟรุต - คนตะวันตกนิยมกินเกรปฟรุตในอาหารมื้อเช้า เนื่องจากสารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทาง เดินในหลอดเลือดได้ ทั้งยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักทำอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อนด้วย
กระเทียม - กระเทียมช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิ รวมไปถึงไวรัสในทางเดินอาหารได้อย่างดี ทั้งยัง ต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น
บลูเบอร์รี่ - ในบลูเบอร์รี่นั้นมีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยลดการระคายเคืองได้ นอกจากนี้ การกินบลูเบอร์รี่ยังช่วยขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะลดลง ที่สำคัญคือมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงมาก จึงถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรคที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
กะหล่ำ - ช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ โดยพืชตระกูลกะหล่ำได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม เป็นต้น
บีตรูต - ผักมหัศจรรย์ที่ประกอบไปด้วยไฟโตเคมีคอล วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด จึงมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้กำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้นด้วย และล่าสุดยังพบว่าบีตรูต ช่วยปรับระดับกรด-ด่างในเลือดให้สมดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อะโวคาโด - ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนักได้ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนพบว่า ผู้สูงอายุที่กินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนเป็นประจำ จะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์
ตำลึง - ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ มีคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายได้อีกด้วย
แอปเปิล - ประกอบไปด้วยเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว จึงเป็นผลไม้ที่ช่วยล้างพิษได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง รวมทั้งฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้
อัลมอนด์ - มีใยอาหาร แคลเซียม และโปรตีนสูง แม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย การกินอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
กล้วย - หากินได้ง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาล นอกจากอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินเอ วิตามินบี 6 และบี 10 วิตามินซี โปรตีน แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม เหล็ก และทองแดงแล้ว กล้วยยังมีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงให้กับกระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันสารทริปโตแฟนที่มีอยู่ในกล้วยยังช่วยกระตุ้นการผลิตเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารส่งผ่านประสาทหรือนิวโรทรานสมิตเตอร์ที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสงบ ผ่อนคลายมากขึ้น ทริปโตแฟนนี้ยังช่วยขจัดอาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล และโรคนอนไม่หลับได้ด้วย อ้อ การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันอาการท้องผูกและทำให้ระบบขับถ่ายเป็น ปกติอีกด้วยนะคะ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Getty Images
ที่มาข้อมูล : http://women.sanook.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9-830938.html

เลือกใช้แป้งแบบไหนดี

เลือกใช้แป้งแบบไหนดี ?


ด้วย วิทยาการที่ก้าวหน้าของโลกปัจจุบัน ทำให้มีแป้งแต่งหน้าอยู่มากมายหลายชนิดจนอาจสร้างความสับสนให้กับคุณได้ เราเลยขอมาไขความกระจ่างเกี่ยวกับแป้งแต่ละชนิด เพื่อที่คุณจะได้เลือกหาให้ตรงกับความต้องการของคุณจริง ๆ มักเป็นแป้งที่ผสมรองพื้นมาให้เสร็จสรรพ และสะดวกต่อการพกพาไปไหนต่อไหน แต่คุณก็ต้องระวังไว้ด้วย เพราะถ้าทาแป้งชนิดนี้มากเกินไป ก็อาจทำให้ดูหนาเตอะและขาวเว่อร์ได้
-  แป้งตลับหรือแป้งแข็ง
- แป้งโปร่งแสง จะมีลักษณะเป็นแป้งฝุ่นสีขาวๆ ที่ทาแล้วแทบมองไม่เห็น จึงเหมาะจะใช้ทาให้ทั่วใบหน้าด้วยแปรงแต่งหน้าหรือพัฟฟ์นุ่มๆ บางชนิดอาจจะมีการเจือสีสันมาด้วย โดยมากมักเป็นสีอมชมพูหรืออมเหลือง ซึ่งเราขอแนะนำให้ใช้สีอมเหลือง เพราะจะช่วยให้ทุกสีผิวดูสวยขึ้นได้ดีกว่าสีอมชมพู
- แป้งฝุ่น จะมีให้เลือกหลายเฉดสี ซึ่งเหมาะจะใช้คู่กับครีมรองพื้นที่มีเฉดสีเดียวกัน ซึ่งควรใช้ทาบาง ๆ ด้วยแปรงแต่งหน้าหรือพัฟฟ์เหมือนกัน